บางครั้งการตัดสินใจร่วมทุนกับคนใกล้ชิดก็อาจนำมาซึ่งเรื่องราวที่ซับซ้อนและเจ็บปวดกว่าที่คิด เรื่องราวของนักแสดงสาวมากความสามารถอย่าง ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เมื่อความขัดแย้งทางธุรกิจกับอดีตหุ้นส่วนและผู้จัดการส่วนตัวได้ปะทุขึ้นมาสู่หน้าสื่ออีกครั้ง เปิดเผยให้เห็นถึงรอยร้าวที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่น และนำมาสู่สงครามกฎหมายที่น่าจับตามองในที่สุด
ย้อนกลับไปในช่วงเริ่มต้นของการทำธุรกิจ ออม สุชาร์ ได้จับมือกับเพื่อนสนิทอย่าง พริม-ณัฏฐชา และอดีตผู้จัดการส่วนตัวอย่าง ซาซ่า เพื่อร่วมกันสร้างแบรนด์เครื่องสำอางภายใต้ชื่อ “ฟรีบิวตี้” ซึ่งเป็นการเริ่มต้นจากความเชื่อมั่นและมิตรภาพที่แข็งแกร่ง ทั้งสามฝ่ายได้ตกลงแบ่งสัดส่วนการถือครองหุ้นกันอย่างชัดเจน โดย ออม และ พริม ถือหุ้นคนละ 48% ในขณะที่ ซาซ่า ถือหุ้นส่วนที่เหลือ 4% ซึ่งการแบ่งสัดส่วนที่เท่าเทียมกันนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะร่วมสร้างธุรกิจไปด้วยกันอย่างแฟร์ๆ และมุ่งหวังให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
แต่แล้วความฝันที่เคยสวยงามก็เริ่มสั่นคลอน เมื่อมีรายงานว่า ออม สุชาร์ ได้ตัดสินใจซื้อหุ้นส่วนของ ซาซ่า ทั้งหมด 4% ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของเธอเพิ่มขึ้นเป็น 52% และกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในบริษัท ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งในเวลาต่อมา จากการเปิดเผยข้อมูลของ ซาซ่า และ พริม ทำให้หลายคนถึงกับอึ้งเมื่อได้รู้ว่าเบื้องหลังของการตัดสินใจซื้อหุ้นในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่คิด
ตามข้อมูลที่ถูกเปิดเผย ซาซ่า อ้างว่าการตัดสินใจขายหุ้นให้กับ ออม นั้นเป็นเพราะได้รับคำโน้มน้าวจาก ออม ว่า พริม มีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจในการบริหารงานบริษัท ทั้งเรื่องการใช้เงินและเรื่องการบริหารจัดการที่อาจนำไปสู่ความล้มเหลวของธุรกิจในที่สุด การที่ ซาซ่า ได้รับฟังข้อมูลจาก ออม ในลักษณะนี้ ทำให้เธอตัดสินใจที่จะขายหุ้นส่วนของตัวเองให้กับ ออม ด้วยความเชื่อใจ เพื่อหวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในบริษัทได้ แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการโอนหุ้นเปลี่ยนมือได้เสร็จสิ้นลง ออม สุชาร์ ได้ใช้สิทธิในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ในการเข้าควบคุมบริษัทอย่างเบ็ดเสร็จ และได้สั่งปลดทุกอย่างที่ พริม เป็นคนดูแลออกทั้งหมด รวมถึงการเปลี่ยนกรรมการบริษัทให้เป็นคนในครอบครัวของเธอเอง
การกระทำนี้ทำให้ พริม ณัฏฐชา ถึงกับช็อกและรู้สึกว่าเธอถูก “หักเหลี่ยม” อย่างรุนแรง จากการเป็นเพื่อนร่วมธุรกิจที่เคยไว้วางใจ กลับต้องกลายเป็นคนนอกที่ถูกกีดกันออกจากบริษัทที่ตัวเองมีส่วนร่วมในการปลุกปั้นมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่ ซาซ่า เองก็ต้องกลายเป็นพยานสำคัญที่ยืนยันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และกลายเป็นผู้ที่ถูกตั้งคำถามว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องในการสมรู้ร่วมคิดหรือไม่
เรื่องราวความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงในกลุ่มของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่ยังลุกลามไปถึงดาราคนดังในวงการบันเทิงคนอื่นๆ ด้วย เมื่อ น้ำชา-ชีรณัฐ ยูสานนท์ และ คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส ได้ออกมาโพสต์ข้อความที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น น้ำชา ได้โพสต์ข้อความที่น่าสนใจว่า “เรื่องเดิม เพิ่มเติมคือคนใหม่” พร้อมด้วยอิโมจิรูปงู ซึ่งข้อความนี้สร้างความฮือฮาและมีการคาดเดาว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับประวัติความขัดแย้งทางธุรกิจในอดีตของเธอกับ พริม ณัฏฐชา ส่วน คิมเบอร์ลี่ ก็ได้ออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่าเธอไม่ต้องการให้ใครมากล่าวอ้างถึงชื่อของเธอเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เนื่องจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ ซาซ่า ได้สิ้นสุดลงไปนานกว่า 10 ปีแล้ว และไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายในครั้งนี้ ซึ่งการที่ดาราดังหลายคนต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่ตั้งใจนี้ ยิ่งทำให้เรื่องราวของ ออม สุชาร์ กลายเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและดราม่ายิ่งกว่าเดิม\
ในขณะที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์กำลังพุ่งสูงขึ้น ออม สุชาร์ ก็ได้ออกมาประกาศว่าจะเข้าชี้แจงความจริงในรายการชื่อดังอย่าง “โหนกระแส” ซึ่งเป็นเวทีที่ทั้งสองฝ่ายจะได้เผชิญหน้าและพูดคุยถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา และยังมีการเปิดเผยว่า ออม ได้ยื่นฟ้อง ซาซ่า ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในบริษัท ซึ่งการฟ้องร้องนี้จะเป็นการต่อสู้ในเชิงกฎหมายที่น่าติดตามอย่างยิ่ง โดยมีการกำหนดวันนัดสืบพยานในศาลในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะเป็นบทสรุปสำคัญของเรื่องราวทั้งหมด
เรื่องราวความขัดแย้งทางธุรกิจครั้งนี้ของ ออม สุชาร์ จึงเป็นมากกว่าแค่ข่าวคราวในหน้าบันเทิง แต่เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของโลกธุรกิจและการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น มันแสดงให้เห็นว่าความไว้ใจที่มากเกินไปอาจนำมาซึ่งความเจ็บปวด และการใช้เล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจสามารถทำลายความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าในที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะในสงครามกฎหมายครั้งนี้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ทิ้งบาดแผลลึกๆ ไว้ในใจของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และยังเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับทุกคนว่าในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ความซื่อสัตย์และความโปร่งใสคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขและยั่งยืน.