ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารไหลเวียนอย่างรวดเร็วและไม่อาจคาดเดาได้ บางครั้งการแสดงความคิดเห็นเพียงคำเดียวในพื้นที่สาธารณะก็อาจจุดชนวนให้เกิดกระแสร้อนแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เรื่องราวที่กำลังเป็นที่จับตามองในขณะนี้คือประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างนักแสดงสาวชื่อดัง ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง และนักอาชญาวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมมนุษย์อย่าง ดร. ตฤณ โพธิรักษ์ ซึ่งทั้งคู่ได้เข้าสู่วงโคจรความขัดแย้งในลักษณะที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน และบทสรุปของเรื่องราวนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของความรู้สึกในโลกยุคดิจิทัล
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ ดร. ตฤณ ได้รับเชิญให้ไปออกรายการทีวีชื่อดังอย่าง “โหนกระแส” ซึ่งเป็นรายการที่มักจะนำเสนอประเด็นสังคมที่กำลังเป็นที่ถกเถียงและสนใจจากสาธารณชน ในวันนั้นรายการได้หยิบยกเรื่องราวความขัดแย้งทางธุรกิจระหว่าง ออม สุชาร์ กับอดีตหุ้นส่วนมานำเสนออีกครั้งหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้เคยออกมาให้ข้อมูลในรายการไปก่อนหน้านี้แล้ว ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรม ดร. ตฤณ ได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์จากข้อมูลที่ปรากฏและนำเสนอในรายการ
การวิเคราะห์ของ ดร. ตฤณ เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา โดยเขาได้อธิบายถึงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในกรณีนี้จากมุมมองทางอาชญาวิทยาและสังคมศาสตร์ เขาชี้ให้เห็นว่าการกระทำที่ฝ่ายหนึ่งพูดคุยตกลงกันด้วยวาจา แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับใช้เอกสารทางกฎหมายที่มีข้อความที่แตกต่างออกไปนั้น เป็นพฤติกรรมที่สามารถนิยามได้ว่าเป็นการกระทำที่เรียกว่า “เหลี่ยม” ซึ่งในบริบทของภาษาไทย คำนี้มักจะหมายถึงการกระทำที่เจ้าเล่ห์, ไม่ตรงไปตรงมา หรือการใช้กลวิธีที่แยบยลเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง ซึ่งการใช้คำนี้เพียงคำเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับบรรยากาศในรายการและในโลกออนไลน์อย่างมหาศาล
ทันทีที่คำว่า “เหลี่ยม” หลุดออกมาจากปากของ ดร. ตฤณ กระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียลก็พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากฝั่งที่สนับสนุน ออม สุชาร์ ที่มองว่าการใช้คำนี้เป็นการตัดสินและปรักปรำ ออม โดยที่ยังไม่ได้รับฟังความจริงจากปากเธอ ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีข่าวออกมาว่า ออม สุชาร์ รู้สึกไม่สบายใจและไม่พร้อมที่จะไปเผชิญหน้ากับ ดร. ตฤณ ในรายการเดียวกันเพื่อชี้แจงความจริงในมุมของเธอ สิ่งนี้ยิ่งทำให้ประเด็นร้อนแรงขึ้นไปอีก เนื่องจากสาธารณชนต่างตั้งคำถามถึงเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ออมตัดสินใจเช่นนั้น
ในขณะที่กระแสวิพากษ์วิจารณ์กำลังพุ่งถึงขีดสุด ดร. ตฤณ ก็ได้ออกมาชี้แจงในมุมของตนเองผ่านช่องทางต่างๆ เขาอธิบายอย่างละเอียดว่าการวิเคราะห์ของเขาเป็นไปตามหลักการทางวิชาการและสังคมศาสตร์อย่างแท้จริง และไม่ได้มีเจตนาที่จะตัดสินหรือปรักปรำใครในทางกฎหมาย คำว่า “เหลี่ยม” ที่เขาใช้นั้นเป็นเพียงการวิเคราะห์พฤติกรรมตามหลักการที่ว่าด้วยการใช้กลวิธีที่ไม่ตรงไปตรงมาเพื่อเอาชนะในทางธุรกิจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในสังคม ไม่ได้หมายความว่าพฤติกรรมเหล่านั้นจะต้องผิดกฎหมายเสมอไป
ดร. ตฤณ ยังได้กล่าวอีกว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของ ออม สุชาร์ ที่อาจจะรู้สึกไม่ดีกับคำพูดของเขา และได้ขอโทษหากคำพูดของเขาไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธอโดยไม่ตั้งใจ เขาชี้ให้เห็นว่าในฐานะนักวิชาการ เขามีหน้าที่ในการวิเคราะห์และอธิบายพฤติกรรมตามข้อมูลที่มี แต่ในฐานะมนุษย์ เขาก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่เปราะบางของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดัน
บทสรุปของเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ว่าคดีความทางธุรกิจจะสามารถไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ร่องรอยของความรู้สึกที่ถูกทำร้ายจากคำพูดและการตัดสินจากสังคมก็ยังคงอยู่ ความละเอียดอ่อนของความรู้สึกและคำพูดได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ทุกคนต้องระมัดระวังมากขึ้นในโลกยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ เรื่องราวของ ออม สุชาร์ และ ดร. ตฤณ โพธิรักษ์ จึงเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ นักวิจารณ์ หรือแม้กระทั่งคนทั่วไปที่ใช้โซเชียลมีเดียในการแสดงออกถึงความคิดเห็น
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดในทางกฎหมาย แต่ในทางความรู้สึกแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ต้องแบกรับบาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นจากการปะทะคารมในที่สาธารณะ บทเรียนจากเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าการใช้คำพูดที่รอบคอบและการให้เกียรติซึ่งกันและกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะช่วยให้สังคมของเราเดินไปข้างหน้าได้อย่างสันติสุขและปราศจากความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น.